Nothing to Envy - Barbara Demick

เรื่อง Nothing to Envy
โดย Barbara Demick


ปก Nothing to Envyหนังสือนี้ผู้แต่งที่เป็นนักข่าวของ LA Times ที่เกาหลีใต้ เล่าชีวิตของขาวเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่บริเวณเมือง Chongjin ที่มีภูมิหลังครอบครัว (song-bun) แตกต่างกัน ภูมิหลังถูกกำหนดจากสถานะและการกระทำของบรรพบุรุษ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ คือ ภักดี ลังเล และปรปักษ์ และมีกลุ่มย่อยอีกจำนวนมาก ภูมิหลังเป็นตัวกำหนดว่าสมาชิกในครอบครัวจะมีโอกาสในชีวิตได้แค่ไหน

เมือง Chongjin ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนจีน สมัยก่อนเคยเป็นบริเวณที่เนรเทศนักโทษ มีชื่อด้านกระด้างกระเดื่อง และสมัยญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีก็กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมเหล็กและถ่านหินสำคัญ ทำให้กลายเป็นเมืองใหญ่ลำดับสามของประเทศ

คนที่ลี้ภัยออกมาคนแรกคือ Mi-ran ลูกสาวคนที่สามของเชลยศึกเกาหลีใต้ หลังออกจากค่ายเชลยศึกก็แต่งงาน มีลูกสาวสามคนและลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวทั้งสามสวย ฉลาด และเก่ง พ่อของ Mi-ran ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ครอบครัวฟังเลยจนก่อนเสียชีวิต การที่ภูมิหลังครอบครัวอยู่ในประเภทปรปักษ์ ทำให้ได้อาศัยบริเวณชานเมือง พี่น้องที่มีความสามารถถูกจำกัดด้านการเรียนและการทำงาน เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบความรักของ Mi-ran กับแฟนหนุ่ม Jun-sang ในช่วงอดอยาก ครอบครัวใช้ความสามารถในเชิงการค้าเอาตัวรอดมาได้อย่างไม่ลำบากมากนัก และ Mi-ran ยังได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาที่ดีกว่าพี่สาวเพราะขาดการปันส่วนอาหารจนคนอื่นไม่เรียน

เมื่อครอบครัว Mi-ran หนีออกไปจีนและติดต่อพวกพี่สาวของพ่อได้ ทั้งครอบครัวถูกยอมรับเข้าสังคมเกาหลีใต้เพราะมีบ้านบรรพบุรุษอยู่ทางใต้ จึงถือเป็นคนเกาหลีใต้ ญาติในเกาหลีใต้ดีใจมากที่ตระกูลจะสืบทอดต่อไปทางน้องชายของ Mi-ran และช่วยพาทั้งครอบครัวมาเกาหลีใต้เต็มกำลัง ขนาดมีญาติยอมติดคุกเพราะเอาพาสปอร์ตไปให้ใช้

Jun-sang เป็นลูกชายคนโตของคนเกาหลีที่อพยพมาจากญี่ปุ่นหลังสงครามโลก ถึงจะไม่เป็นกลุ่มชนชั้นนำ แต่พ่อก็ได้ความช่วยเหลือจากปู่ในญี่ปุ่นที่มาพบและเอาเงินมาให้ปีละครั้ง ครอบครัวเลยมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนทั่วไปมาก มีบ้านที่มีบริเวณของตนเอง นอกจากนั้น Jun-sang ยังเรียนเก่งจนได้เข้าเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าในมหาวิทยาลัยในเปียงยาง เป็นการเปิดประตูสู่การเป็นสมาชิกพรรค ได้งานและอยู่ในเมืองหลวง นับเป็นความหวังของครอบครัว แต่ถ้าความสัมพันธ์กับ Mi-ran เปิดเผยจะทำให้เสียโอกาสเหล่านี้ได้ Jun-sang เริ่มสงสัยความคิดเกี่ยวกับประเทศเมื่อครอบครัว Mi-ran หนี และได้รับข้อมูลอื่นมาเปรียบเทียบ เมื่อ Jun-sang หนีไปเกาหลีใต้และติดต่อกับ Mi-ran ก็พบว่าเธอแต่งงานมีลูกแล้ว ส่วนตัว Jun-sang ก็เหมือนสูญเสียเป้าหมายของการใช้ชีวิตจากข้อจำกัดที่เผชิญในเกาหลีใต้ ไม่สามารถทำงานวิศวกรได้เพราะความแตกต่างทางเทคโนโลยีที่เรียนมา

ในด้านกลับกัน คุณนาย Song Hee-suk มีภูมิหลังภักดี พ่อเป็นวีรชนผู้พลีชีพในสงคราม แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์และสมาชิกพรรค ได้อยู่ในอพาร์ตเมนต์ในบริเวณที่ดีกลางเมือง ทำงานในโรงงานผลิตเสื้อผ้า ถึงชีวิตไม่ได้สะดวกสบายมาก แต่เธอก็เชื่อมั่นในพรรคและทำงานอย่างเต็มที่ เคยได้เป็นผู้นำชุมชนที่คอยดูแลความเรียบร้อยเชื่อฟังของเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่เหมือนลูกสาวคนโต Oak-hee ที่หัวแข็ง ในช่วงอดอยาก สามีและลูกชายเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร Song Hee-suk ขายอาหารในตลาดมืดเลี้ยงชีพ

หลังจากที่ Oak-hee หย่า ก็หนีไปจีน ถูกจับไปอยู่ในค่ายกักกัน แต่สุดท้ายก็หนีไปเกาหลีใต้ได้ จ้างคนพาแม่และน้องสาวที่เหลืออยู่ไปเกาหลี โดยความเสียใจที่สุดคือไม่สามารถพาลูกออกมาได้เพราะอดีตสามีป้องกันอย่างเข้มแข็งเพื่อให้ Oak-hee ต้องส่งเงินไปให้ สำหรับครอบครัวที่มาเกาหลีใต้ ตอนแรก Song Hee-suk ลังเลและยอมแค่ไปอาศัยในจีนชั่วคราว จนได้เห็นรายการแช่งฟุตบอลโลกที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม จึงคิดอยากจะไปดูให้เห็นกับตา ที่น่าสนใจคือ Song Hee-suk กลายเป็นคนเกาหลีเหนือแท้ที่ปรับตัวเข้ากับเกาหลีใต้ได้ดีที่สุดในเล่ม (อาจจะเป็นเพราะเธอไม่มีความคาดหวังสูงและอยู่กับปัจจุบันมากกว่าคนอื่น) และเข้าถึงประสบการณ์เกาหลีใต้คือการทำตาสองชั้น

Kim Hyuck เด็กชายลูกคนรองของสมาชิกพรรคที่กำพร้าแม่ พ่อแต่งงานใหม่และไม่สามารถดูแลลูกได้ จึงพาไปฝากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ ถ้าไม่มีเส้น ในช่วงอดอยาก พ่อทำตามกฏอย่างเคร่งครัดและอดอาหารตาย Kim Hyuck กลายเป็นเด็กเร่ร่อนและสุดท้ายก็หนีไปเกาหลีใต้

คุณหมอ Kim Ji-eun เป็นลูกของคนจีนเชื้อสายเกาหลีที่อพยพมาเกาหลีเหนือ พ่อเป็นสมาชิกพรรคที่ซื่อสัตย์ เธอมีความประพฤติดี ไม่ด่างพร้อย ทนต่อความยากลำบาก และมีอุดมการณ์เชื่อมั่นในพรรคอย่างยิ่ง ทำให้ Kim Ji-eun ช็อคมากเมื่อพบว่าเธอถูกสงสัยเพราะมีญาตินอกประเทศ เพราะพ่อแอบเขียนข้อมูลการติดต่อญาติไว้ให้ก่อนตาย เมื่อ Kim Ji-eun หนีออกไปจีน สิ่งแรกที่เธอพบคือคนจีนเลี้ยงอาหารสุนัขด้วยข้าวขาวและเศษเนื้อ ซึ่งดีกว่าอาหารที่เธอกินเสียอีก เมื่อไปเกาหลีใต้ Kim Ji-eun ไม่สามารถประกอบวิชาชีพแพทย์ได้ จึงต้องเรียนแพทย์แผนโบราณเพิ่ม

ในเล่มแบ่งช่วงการเล่าเรื่อง ส่วนแรกเกี่ยวกับพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนที่ถือได้ว่าเป็นช่วงที่มีความสุข แล้วก็เป็นช่วงขาดแคลนอาหารในกลางทศวรรษที่เก้าสิบและความสูญเสียที่แตกต่างกัน ที่น่าสนใจคือคนที่ตายก่อนคือคนที่ทำตามกฎ ผู้ที่อยู่รอดคือคนที่หาทางออกแบบนอกกรอบ แต่เหตุผลและการหลบหนีออกนอกเกาหลีเหนือเกี่ยวข้องกับความต้องการทางจิตใจมากกว่าความหิวโหยยากแค้น

ผู้ลี้ภัยต้องรับภาระของการหลบหนีต่อญาติในเกาหลีเหนือ พยายามปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ที่มีการแข่งขันสูงมาก และยังปราศจากสิ่งที่คนเกาหลีใต้มองว่าเป็นความสำเร็จ เช่น ความร่ำรวย ภาษาอังกฤษ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยดัง หรือแม้แต่ความสูง … คนที่มีการศึกษาสูงในเกาหลีเหนือก็เรียนภาษารัสเซียเป็นหลัก ปริญญาเกาหลีเหนือไม่เป็นที่ยอมรับ และเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีในเกาหลีเหนือมีความสูงเฉลี่ยน้อยกว่าเกาหลีใต้ถึงห้านิ้ว

ส่วนชื่อเรื่องมาจากเพลงสำหรับเด็กที่ครูมักจะให้ร้องกันในห้องเรียน 'We have nothing to envy in the world.' ที่บอกว่าโลกข้างนอกไม่มีอะไรให้เราอิจฉา ซึ่งเปลี่ยนโลกทัศน์ของ Jun-sang เมื่อได้ยินเด็กกำพร้าหิวโหยร้องเพลงนี้บนรถไฟ …

เล่มนี้ จขบ. คิดว่าสมแล้วที่ได้รางวัล 2010 BBC Samuel Johnson Prize for Non-Fiction และยังเข้ารอบ National Book Award ด้วย ทั้งเรื่องและการเล่าเรื่องเป็นประเภทที่ถ้าเริ่มอ่านแล้วติด จนอ่านจบมาหลายรอบแล้ว มีการแปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์สันสกฤตในชื่อ 'ใต้เงาเกาหลีเหนือ' แปลโดย ชาธินี ภคสุภา ที่ จขบ. เคยไปพลิกๆ ดู รู้สึกว่าลีลาสำนวนอาจจะสู้ต้นฉบับไม่ได้นะคะ
[07/11/15, 02/05/21]

ที่มา
[1] Barbara Demick. Nothing to Envy. Spiegel & Grau, 336 pages, 2010.


รายการหนังสืออังกฤษ, ไทม์ไลน์หนังสืออิงประวัติศาสตร์/ย้อนยุค เกาหลี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spy×Family - Endo Tatsuya

ลำนำรักเทพสวรรค์ - ถงหัว

สืบลับฉบับคาโมโนะฮาชิ รอน - Amano Akira