The Red Baron - Manfred von Richthofen

เรื่อง The Red Baron
โดย Manfred von Richthofen


ปก The Red Baronหนังสือเล่มนี้เป็นอัตชีวประวัติของเสืออากาศที่โด่งดังที่สุดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 พิมพ์ครั้งแรกในเยอรมันตั้งแต่ปี 1917 ในชื่อ 'Der Rote Kampfflieger' ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อปี 1918 โดยจขบ. มั่นใจว่าผู้แต่งไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์แน่นอน

ในเล่มไม่ได้บอกชื่อผู้แปล แต่บอกว่าคำนำในการพิมพ์ครั้งแรกและเชิงอรรถเป็นของ C. G. Grey บรรณาธิการวารสาร The Aeroplane และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบินรบที่มีชื่อมาก จึงขอเดาว่าน่าจะเป็นผลงานการแปลรุ่นแรกของ J. E. Barker (ไม่สามรถยืนยันได้เลย) แต่จากสำนวนก็มีแนวโน้มจะเก่าพอดู เช่น ใช้คำว่า machine เรียกเครื่องบิน และมีการใช้ฟันหนูแสดงศัพท์ใหม่รอบคำ เช่น "tracer" bullet หรือกระสุนส่องวิถี ที่ปัจจุบันถือเป็นศัพท์ปกติที่ไม่แปลกอะไร

นอกจากเนื้อเรื่องหลักแล้วก็มีการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม โดย Norman Franks และ N. H. Hauprich และมีบอกว่า หนังสือถูกพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในรูปแบบนี้เมื่อปี 1990 ในชื่อ 'The Red Air Fighter' แล้วมาปรับเปลี่ยนชื่อเล็กน้อย ขนาดชื่อหนังสือด้านบนของหน้าในเล่มยังไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ที่งงมากคือหน้าปกและในเล่มสะกดชื่อไม่ตรงกัน หน้าปกใช้ Richtofen ส่วนในเล่มใช้ Richthofen เพราะฉะนั้นเลยจะเขียน blog แบบมั่วๆ ตามนะคะ

ร้อยเอก แมนเฟรด ฟอน ริชโธเฟน (Manfred von Richthofen) เกิดในตระกูลขุนนางเจ้าของที่ดินทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ตระกูลริชโธเฟนถือครองที่ดินในเบรสเลา (Breslau) และ ชเตรเกา (Striegau) (ปัจจุบันอยู่ในโปแลนด์) สมาชิกในตระกูลส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดิน เข้าร่วมรบเมื่อมีสงคราม มีส่วนน้อยที่รับราชการทหารเป็นอาชีพ ซึ่งพ่อ พันตรี อัลเบรชท์ ฟอน ริชโธเฟน (Albrecht von Richthofen) ก็เป็นคนหนึ่ง

แมนเฟรดเกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม 1892 ที่เบรสเลา มีน้องชายสองคนและพี่สาวหนึ่งคน เมื่ออายุ 11 ปีเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เข้าเป็นทหารม้าในปี 1911 และเป็นนายทหารในปีต่อมา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มในปี 1914 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในรัสเซียและฝรั่งเศสจนสามารถย้ายมายังหน่วยทหารอากาศ (Luftstreitkräfte) ของกองทัพบกในเดือนพฤษภาคม 1915

แมนเฟรดได้รับการฝึกเป็นลูกเรือทำหน้าที่สังเกตการณ์หรือพลปืนประมาณ 2 สัปดาห์ ได้ขึ้นบินประมาณ 12-15 ชั่วโมง ก่อนถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ในต้นเดือนมิถุนายนในรัสเซียและฝรั่งเศส ก่อนได้โอกาสฝึกเป็นนักบินในเดือนตุลาคม สอบผ่านเป็นนักบินในเดือนธันวาคม

แมนเฟรดเข้าร่วมฝูงบินที่สอง (Jagdstaffel 2) ภายใต้การนำของ ออสวัลด์ เบอล์เคอ (Oswald Boelcke) เสืออากาศมีชื่อที่สุดของเยอรมันขณะนั้น เบอล์เคอมีสถิติยิงตกทั้งหมด 40 ลำ ก่อนประสบอุบัติเหตุทางอากาศเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 1916

แมนเฟรดเริ่มรบในเดือนสิงหาคม 1916 ที่แนวรบซอมม์ ยิงเครื่องบินอังกฤษตกครั้งแรกในเดือนกันยายน และผลงานชิ้นสำคัญคือการยิงเครื่องบินของพันตรี ฮอว์คเกอร์ (Hawker) ตกในเดือนพฤศจิกายน โดยพันตรี ฮอว์คเกอร์เป็นนักบินมีชื่อของอังกฤษ มีประสบการณ์การบินตั้งแต่ปี 1913 และได้เหรียญกล้าหาญขั้นสูงสุดของอังกฤษคือวิกตอเรียครอส

เมื่อแมนเฟรดยิงเครื่องบินศัตรูตกครบ 16 ลำ ในเดือนมกราคม 1917 ก็ได้รับเหรียญกล้าหาญขั้นสูงสุด Ordre Pour le Mérite เป็นผู้นำฝูงที่ 11 และเริ่มทาสีเครื่องบินเป็นสีแดงจนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว (ภายหลังเครื่องบินในฝูงก็ทาสีแดงด้วย)

เมื่ออ่านจากการบรรยายทั้งในบทนำและเนื้อหาแล้ว ดูเหมือนแมนเฟรดจะเป็นนักบินและผู้นำฝูงที่รอบคอบ ระมัดระวัง สร้างกลยุทธการรบทางอากาศที่มีประสิทธิภาพและใช้ข้อได้เปรียบของตนให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีนโยบายว่า It is stupid after all to die so unnecessarily a hero’s death. คือเป็นเรื่องโง่เง่าที่จะตายแบบวีรบุรุษโดยไม่จำเป็น

น้องชาย ลูกคนที่สามของครอบครัว โลธาร์ ฟอน ริชโธเฟน (Lothar von Richthofen) ก็เป็นเสืออากาศขึ้นชื่อ ออกแนวบ้าพลังขนาดพ่อยังบ่น เดิมเป็นทหารม้า สมัครเข้าทหารอากาศในฐานะลูกเรือเมื่อฤดูหนาวปี 1915 จนได้เป็นนักบินในเดือนมีนาคม 1917 และเข้าร่วมในฝูงบินของพี่ชาย ในหนังสือช่วงสุดท้ายมีเรื่องที่พ่อของทั้งคู่ไปเยี่ยมที่ฐานในเดือนเมษายน 1917 เห็นลูกชายสองคนยิงเครื่องฝ่ายศัตรูตกรวมกันถึง 6 ลำในวันเดียว (แมนเฟรด 4 ลำ โลธาร์ 2 ลำ)

โลธาร์ รับเหรียญ Pour le Mérite ในเดือนพฤษภาคม 1917 เมื่อยิงเครื่องบินศัตรูตกครบ 24 ลำ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โลธาร์ยิงเครื่องบินฝ่ายศัตรูตก 40 ลำ สถิติติดใน 30 ลำดับสูงสุดในสงคราม โดยได้รับบาดเจ็บในการรบทางอากาศอย่างน้อย 3 ครั้ง เสียชีวิตเมื่อปี 1922 ในอุบัติเหตุเครื่องบินตก (ช่วงหลังนี่เพิ่มมาจากเล่มอื่น)

นอกจากนี้ก็มีเรื่องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แมนเฟรดพบมาเอง เช่น เรื่องสมัยเป็นทหารม้าที่พอเห็นเครื่องบินก็ยิงไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน ตอนฝึกบินที่ชอบลงจอดฉุกเฉินในที่ดินของคนรู้จัก เลี้ยงหมาชื่อ โมริทซ์ (Moritz) ที่เคยพาขึ้นเครื่องตอนฝึกบินที่หมาชอบมาก แต่ช่างเครื่องบ่นเพราะต้องทำความสะอาด แต่เข้าใจเอาเองว่าหมาคงเข็ดไม่กล้าเข้าใกล้เครื่องหลังจากโดนใบพัดตัดหูขาด รวมถึงเรื่องที่นักบินอังกฤษที่เป็นเชลยศึกลือกันว่าแมนเฟรดเป็นผู้หญิงเพราะขับเครื่องบินทาสีแดงฉูดฉาดเกินรสนิยมผู้ชาย ฯลฯ

ภาคผนวกที่เพิ่มขึ้นมามี 3 ส่วน ส่วนแรกคือรายการเครื่องบินที่แมนเฟรดยิงตกที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการทั้ง 80 ลำ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 1916 ถึง 20 เมษายน 1918 โดย Franks ได้ค้นคว้ารายการแล้วเทียบเคียงข้อมูลฝั่งเยอรมันและอังกฤษ ได้รายการออกมาละเอียดมาก มีวันที่ เลขที่เครื่องบิน ชื่อนักบินและลูกเรือ รวมถึงชะตากรรมของนักบินและลูกเรือด้วย

พูดกันตามตรงแล้วคือ จขบ. อ่านภาคผนวกนี้ไปสยองแบบตัวสั่นไป เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตายกันจริงๆ (ไม่ใช่นิยายที่จะรู้สึกโรคจิตได้ตามสบาย) ดูรายการแล้วส่วนใหญ่นักบินกับลูกเรือจะ 'เสียชีวิตในการรบ' หรือ 'เสียชีวิตจากบาดแผล' นานๆ ทีค่อยมี 'บาดเจ็บ' เฉยๆ หรือ 'ถูกจับเป็นเชลยศึก' โผล่ออกมาบ้าง น้อยที่สุดคือ 'ไม่ได้รับบาดเจ็บ' นอกจากนั้นบางทีก็มีบอกอายุ เลขที่ประกาศนียบัตรนักบิน ชื่อพ่อ หรือรายละเอียดอื่นที่หาได้ มาด้วย ทำให้เห็นเลยค่ะว่าเสียชีวิตอายุน้อยกันทั้งนั้น (เยอะมากเลยที่อายุยังไม่ถึง 20 สูงสุดที่เห็นก็ไม่เกิน 30) และส่วนใหญ่มีประสบการณ์การบินก็ไม่มากนัก ดูผ่านๆ ที่ประสบการณ์สูงสุดคือเกือบ 4 ปี ของพันตรี Hawker (ก็ประสบการณ์น้อยเหมือนกันทั้งสองฝ่ายแหละค่ะ) แถมสมัยนั้นนักบินไม่มีร่มชูชีพ ถ้าเครื่องตก คนก็ตกมากับเครื่อง ทำให้โอกาสตายสูงมาก (ความจริงมีการติดร่มชูชีพให้นักบินเยอรมันนิดหน่อยช่วงปลายสงคราม แต่ก็ใช้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่)

ในเรื่องการยิงเครื่องบินศัตรูตกนี่ มีกล่าวถึงในบทนำทั้งสองช่วงคือรุ่นเก่า (พิมพ์ครั้งแรก 1918) กับใหม่ ในรุ่นเก่าเห็นได้ชัดว่ามีพูดเรื่อง ความกล้าหาญ (chivalry) อยู่บ้าง ส่วนรุ่นใหม่ (ประมาณปี 1990) เห็นได้ชัดว่ามองการรบว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จโดยสูญเสียน้อยที่สุด จขบ. เห็นด้วยกับอันนี้ การบ่นว่านักบินประสบการณ์ต่ำหรือเครื่องดีไม่เท่า นั่นเป็นความผิดของฝ่ายตัวเอง

แต่อย่างว่าค่ะ ทั้งสองฝ่ายก็ส่งนักบินที่เพิ่งฝึกขึ้นบินในเครื่องตามที่มี ทำให้นักบินต้องอาศัยดวงมากแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องไต่เส้นโค้งการเรียนรู้ให้เร็วที่สุด จนบินได้ชำนาญพอที่สามารถใช้ฝีมือมาช่วยโชคในการเอาชีวิตรอดต่อไปได้ ทำให้ จขบ. ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักบินถึงมาจากตระกูลขุนนางเยอะมาก ก็ถูกฝึกให้ขี่ม้า ล่าสัตว์ ยิงปืนแต่เล็ก คุณสมบัติพื้นฐานของนักบินขับไล่ที่ต้องการสายตาเชื่อมต่อกับการสั่งการทางประสาท ความไว และสัญชาติญาณนักล่า

Hauprich เขียน ภาคผนวกส่วนที่สองคือรายการเครื่องบินที่แมนเฟรดบิน ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปีกสองชั้น Albatros รุ่น DII - DV และเครื่องปีกสามชั้น Fokker Dr. I รายละเอียดยิบ ตั้งแต่ ชื่อรุ่น ตัวเครื่อง ประวัติการทดสอบถึงหลังเลิกใช้ ไปจนถึงการทาสี ฯลฯ และภาคผนวกส่วนสุดท้ายคือข้อมูลเชิงอรรถเพิ่มเติม

เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ระหว่างสงคราม คาดว่าโดนเซนเซอร์มาแล้วอย่างหนักพอดู ถึงมีโทนการเขียนที่ดูสบายๆ ทีเล่นทีจริง ไม่ซีเรียสมาก แต่ จขบ. อ่านไปสยองไปค่ะ โดยในหนังสือเล่าจนถึงกลางปี 1917 ระหว่างการรบในเดือนกรกฎาคม 1917 แมนเฟรดถูกยิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และใช้ช่วงเวลาพักฟื้นเขียนอัตชีวประวัติเล่มนี้ สำหรับหนังสือเล่มนี้เอง ก็มีร่ำลือหลายกระแส เช่น มีมือผีเขียนเพื่อสร้างขวัญระหว่างสงคราม ถึงบอกว่าแมนเฟรดจะเขียนเวอร์ชั่นใหม่

แมนเฟรด ฟอน ริชโธเฟน เสียชีวิตในวันที่ 21 เมษายน 1918 อายุ 25 ปี ในสนามรบที่ซอมม์ระหว่างการรบทางอากาศกับ ร้อยเอก รอย บราวน์ (Roy Brown) โดยมีข้อกังขาว่าใครสมควรได้เครดิต นักบินหรือพลปืนภาคพื้นดิน ด้านสถิติ แมนเฟรดยิงเครื่องบินฝ่ายศัตรูตกอย่างเป็นทางการ 80 ลำ เป็นจำนวนสูงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1

เพิ่มเติมว่ามีภาพยนต์เรื่อง 'เดอะ เรด บารอน สมรภูมิรบ รัก วีรบุรุษ' ที่สร้างเมื่อปี 2008 เป็นเรื่องของแมนเฟรด ฟอน ริชโธเฟนในการรบที่ซอมม์ นำแสดงโดย Matthias Schweighöfer

นอกจากนี้ ยังมีเสืออากาศที่เป็นญาติอีกหนึ่งคน คือ จอมพล โวลแฟรม ฟอน ริชโธเฟน (Wolfram Freiherr von Richthofen) ที่เป็นเอสในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนจะมีผลงานจนขึ้นเป็นจอมพลในสงครามโลกครั้งที่สอง จขบ. สงสัยว่าเกี่ยวกันอย่างไรจนไปค้น ความสัมพันธ์ญาติของเสืออากาศตระกูลริชโธเฟ่นในสงครามโลกครั้งที่ 1
[28/02/11, 08/01/22, 24/06/22]

ที่มา
[1] Manfred von Richthofen. The Red Baron (Der Rote Kampfflieger). Pen & Sword Military Classics, 192 pages, 2005 (First Published in 1917, First Translated in 1918).


รายการหนังสืออังกฤษ, ไทม์ไลน์หนังสืออิงประวัติศาสตร์/ย้อนยุค เยอรมัน , ไทม์ไลน์หนังสืออิงประวัติศาสตร์/ย้อนยุค WW1

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spy×Family - Endo Tatsuya

ลำนำรักเทพสวรรค์ - ถงหัว

สืบลับฉบับคาโมโนะฮาชิ รอน - Amano Akira