ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม - โม่เป่าเฟยเป่า

เรื่อง ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม
โดย โม่เป่าเฟยเป่า (Mo Bao Fei Bao) แปลโดย เสี่ยวหวา


ปก ทุกชาติภพ กระดูกงดงามก่อนฮ่องเต้สวรรคตได้แต่งตั้งอ๋องน้อยหนานเฉิน โจวเซิงเฉิน ที่อายุสิบสี่เป็นท่านอ๋องจูโหว ไม่นานก็มีผลงานทางทหารจนได้คุมกองทัพเจ็ดสิบหมื่นจนเป็นขั้วอำนาจสำคัญนอกเหนือจากไทเฮาที่เลือกเด็กในราชวงศ์เป็นรัชทายาท กุมอำนาจแทน และวางยาพิษให้ป่วยกระเสาะกระแสะ ตระกูลชุยแห่งชิงเหอที่เป็นขุนนางทรงอำนาจจึงให้ธิดาลำดับที่สิบเอ็ดที่เหลือเพียงคนเดียว สืออี๋ ผู้เป็นว่าที่พระชายารัชทายาทให้กราบอ๋องน้อยหนานเฉินเป็นอาจารย์ เพื่อจะให้เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์

สืออี๋ที่เพิ่งเจ็ดขวบและเป็นใบ้ได้เป็นศิษย์สิบเอ็ด ไปอาศัยที่จวนอ๋องในฉางอานเหมือนกับศิษย์คนอื่น เล่าเรียนถึงสิบปี ทั้งคู่มีความผูกพันธ์อย่างเงียบๆ จนสืออี๋ออกจากจวนไปเตรียมตัวแต่งงานที่ตระกูลชุย รัชทายาทวางยาพิษไทเฮา ร่วมมือกับตระกูลชุยทรยศจับโจวเซิงเฉินมาประหารด้วยการเชือดเนื้ออย่างทรมาน ส่วนสืออี๋กระโดดหอฆ่าตัวตาย ภายหลังรัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้ตงหลิงได้สามปีก็สวรรคต

สืออี๋เกิดใหม่ในยุคปัจจุบัน เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หลังสืออี๋เรียนจบด้านวรรณกรรมจีนก็ทำงานเป็นนักพากย์เสียงที่มีความสามารถโดดเด่นและสวยจนถูกชักชวนให้เป็นดารา สืออี๋จำเรื่องในอดีตได้ชัดเจนเมื่อยังเด็กที่ทำให้ครอบครัวกังวลว่าเห็นภาพหลอน แต่ก็เริ่มเลือนรางเมื่อโตขึ้นทั้งที่เธอพยายามจดจำเอาไว้ตลอด

สืออี๋ที่อายุราวยี่สิบหกก็จำโจวเซิงเฉินถึงไม่มีลักษณะภายนอกเหมือนชาติก่อนเลยเมื่อเห็นแวบเดียวที่สนามบิน รีบเข้าไปทำความรู้จัก ชาตินี้โจวเซิงเฉินเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุสิบสี่ จบปริญญาเอกวิศวเคมีตอนอายุสิบเก้า ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์วิทยาลัยเคมีที่เบิร์กลีย์ และมาทำวิจัยแลกเปลี่ยนที่สถาบันวิจัยเคมีอินทรน์ที่ซีอาน ถึงหน้าตาธรรมดามาก แต่บุคลิกและมารยาทเป็นแบบผู้ดีเก่าจนเหมือนกับเป็นกำแพงกั้นคนอื่น ถึงโจวเซิงเฉินจำจำอดีตชาติไม่ได้ แต่ก็มีเค้าลางของความจำเชื่อมโยงบ้าง

หลักจากรู้จักได้ครึ่งปีและติดต่อกันทางอีเมลล์มาตลอด สืออี๋ก็ได้ไปทำงานที่ซีอานและได้พบโจวเซิงเฉินอีกครั้ง ขอให้พาเที่ยวและไปที่ทำงาน ไม่นานก็ได้พบกันอีกที่เซี่ยงไฮ้ ตามด้วยเมืองเจิ้นเจียงในเจียงซู เมื่อสืออี๋ไปร่วมเทศกาลเช็งเม้งที่โจวเซิง เฉินขอให้มาเป็นคู่หมั้นเฉพาะหน้าเป็นการชั่วคราว ซึ่งก็ทำให้สืออี๋ได้รู้จักตระกูลโจวเซิง

ตระกูลโจวเซิงให้ลูกชายคนโตในแต่ละรุ่นใช้นามสกุลโจวเซิงและไม่สามารถมีตำแหน่งทางการเมืองได้ (สมัยก่อนน่าจะหมายถึงเป็นขุนนาง) ที่เหลือจะใช้นามสกุลโจว ตระกูลมีทรัพย์สินสะสมมานาน มีทรัพย์สินมากมาย โดยเกือบทั้งหมดอยู่นอกประเทศจีน (แต่อ่านแล้วเหมือนมาเฟียหรืออั้งยี่มากกว่า เพราะมีธุรกิจที่ต้องใช้อำนาจอิทธิพลและสัมปทานเยอะมาก) ทำให้คนรุ่นหลังสามารถทำสิ่งที่ชอบได้ โดยในจีนมีคฤหาสน์โบราณหลักในเขตภูเขานอกเมืองเจิ้นเจียงและคฤหาสน์รองอื่นๆ

โจวเซิงเฉินชื่อทางการว่าฉางเฟิง (พายุ) จากบทกวีเกาถังฟู่ของซ่งอวี้ พ่อแม่โจวเซิงเฉินมีลูกสามคน โจวเซิงเฉินเป็นคนโต มีน้องชายน้องสาวฝาแฝด โจวเหวินชวน และ โจวเหวินชิ่ง ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่พ่อของโจวเซิงเฉินเสียชีวิตตั้งแต่โจวเซิงเฉินห้าขวบ จึงมีการเปลี่ยนนามสกุลของอา โจวเซิงสิง และลูกชายคนโต โจวเซิงเหริน ที่ หว่านเหนียง แม่ของโจวเซิงเฉินรับเป็นลูกบุญธรรม แต่เมื่อโจวเซิงเฉินหมั้นและขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ก็จะเปลี่ยนกลับเป็นโจวเหมือนเดิม

โจวเซิงเฉินมี ถงเจียเหริน เป็นคู่หมั้นแต่เด็ก แต่เมื่อน้องสาวของถงเจียเหรินไปแต่งงานกับโจวเซิงสิงจนมีลูกคือโจวเซิงเหริน ถงเจียเหรินก็ถอนหมั้น ภายหลังน้องสาวถงเจียเหรินที่แต่งงานเพราะต้องการเข้าไปสืบข้อมูลในตระกูลโจวจนถูกบีบให้ตัวตายตอนโจวเซิงเหรินไม่กี่ขวบ และถงเจียเหรินก็แต่งงานกับโจวเหวินชวน

สืออี๋ค่อยๆ ทำความรู้จักโจวเซิงเฉินในชาตินี้ ปรับตัวเข้าสู่โลกอีกแบบที่ตรงกันข้ามกับอารชีพเดิม อยู่เบื้องหลังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ร่ำรวยทรงอิทธิพล มีแม่สามีที่ไม่พอใจและไม่ยอมรับการแต่งงานตามกฏหมาย แต่ก็มีโจวเซิงเฉินคอยปกป้องคุ้มครองไม่ว่าจะอยู่ในจีน หรือไปทำวิจัยเรื่องดาวศุกร์ที่ยุโรป ในขณะที่โจวเซิงเฉินเองก็เริ่มเข้าสู่บทบาทในฐานะประมุขตระกูลต่อจากอาในขณะมีคนต้องการชิงอำนาจแบบถึงตาย ...


เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องออกแนวเนิบๆ อาจไม่ตื่นเต้นหวือหวา แต่เป็นแนวสุภาพละมุนละไมที่น่าประทับใจ ค่อยๆ ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ (ขนาดการติดต่อหลักยังเป็นอีเมล์ไม่ใช้มือถือเลย) นิสัยของสืออี๋ในยุคปัจจุบันนี่มั่นคงและนิ่งสุดๆ ขนาดถูกตรวจสอบสะกดรอยละเอียดยิบยังเฉย แต่ก็ทำให้นึกถึง เคย์ที่เป็นภรรยาคนที่สองของ ไมเคิล คอร์เลโอเน ในเรื่อง Godfather นะ แบบว่าภรรยาหัวหน้ามาเฟียก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่ยุ่งกับธุรกิจสามีและหนักแน่นไม่สนใจเรื่องอื่น

สำหรับเรื่องในยุคอดีต เห็นได้ว่าเป็นช่วงสมมติเพราะไม่มีแซ่โจวเซิงในสารบบราชตระกูล แต่เนื่องจากตระกูลชุยแห่งชิงเหอมีอิทธิพลมากตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นถึงราชวงศ์ถัง ตอนแรกจึงคิดว่าผู้แต่งน่าจะกำหนดเวลาให้อยู่ในช่วงราชวงศ์เหนือใต้ แต่ในเรื่องมีบอกว่าชุยสืออี๋ศึกษาเรื่องถังเสวียนจง การชงชาและบทกวีสมัยถัง และเรื่องการกอบกู้บทเพลงระบำอาภรณ์ขนนกของหลี่อวี้ที่เป็นฮ่องเต้องค์ลุดท้ายของหนานถัง เลยเหมือนเป็นช่วงห้าราชวงศ์สิบอาณาจักรจนถึงราชวงศ์ซ่ง แต่ตระกูลชุยเสียอำนาจตั้งแต่ช่วงปลายของราชวงศ์ถังแล้ว เลยเหมือนว่าเรื่องยุคอดีตจะไม่อิงกับประวัติศาสตร์เท่าไหร่

เรื่องที่ประทับใจที่สุดคือข้อมูลทางวัฒนธรรม เช่น การเรียกชื่อเขต เดือน อาหาร ชา ดอกไม้ วรรณกรรม เครื่องดนตรี ฯลฯ มีการยกบทกวีต่างๆ เช่น เหมือนมีอธิบายในเล่มว่าชื่อเรื่องมาจากวจีปลุกให้โลกตื่นของเฝิงเมิ่งหลงสมัยหมิง กระดูกงดงาม ผู้ที่มีกระดูกจะไม่มีผิวหนัง ผู้ที่มีผิวหนังจะไม่มีกระดูก มนุษย์บนโลกส่วนใหญ่มีสายตาตื้นเขิน มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มองลึกเข้าไปถึงกระดูก

ส่วนความรักมีบทกวีซ่างฟูหลินของซือหม่าเซียงหรูสมัยฮั่น เรียวคิ้วงามโค้ง เพียงชม้ายชายตา นัยน์ตาสื่อรัก ใจประสานใจ หญิงงามโสภา บุรุษหลงไหล ใจผูกสัมพันธ์ สองเราโสมนัส บทกวีเหลียงโจวฉือโดยหวังฮั่นสมัยถัง น้ำจัณฑ์รสเลิศจอกราตรี ใคร่ดื่มเปรมปรีดิ์สักครา เสียงผีผาเร่งเร้าอาชาศึก มีนเมาหลับกลางสนามรบ ท่านอย่าได้นึกขบขัน โบราณกาลมาจะมีสักคนที่ได้หวลคืน (ที่เอามาตั้งเป็นชื่อตัวละครใน 'เทพยุทธ์เซียน Glory') และสุดท้าย วิญญูชนมีข้อพึงระวังอยู่สามประการ วัยเยาว์เลือดลมพลุ่งพล่าน พึงระวังในกามตัณหา วัยฉกรรจ์เลือดลมแข็งแรง พึงระวังในการทะเลาะวิวาท วัยชราเลือดลมถดถอย พึงระวังในความโลภ ที่ไม่ได้บอกว่าเอามาจากไหน

ในเล่มมีอ้างถึงเรื่องที่ไม่ค่อยเจอในนิยายจีนเพราะไม่ค่อยพูดถึง อย่างการลี้ภัยของคนเกาหลีเหนือ แน่นอนว่าไม่มีเรื่องเทียนอันเหมิน แต่ที่รู้สึกประหลาดมากก็มีเยอะ โดยเฉพาะการรักษาตระกูลเก่าและสั่งสมสมบัติในอดีต ก็มีข้อสงสัยเรื่องกฏตระกูลที่ไม่เอื้อต่อการกุมอำนาจภายใน รวมถึงการช่วงชิงอำนาจและทรัพย์สมบัติต่าๆ ทำให้เงื่อนไขการดำเนินเรื่องที่นิยายตั้งขึ้นดูไม่สมจริงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมองว่ากฏต่างๆ เกิดขึ้นเพราะคนที่เกี่ยวข้องยอมรับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสืบทอดมาอย่างตายตัวต่อมาเรื่อยๆ การเสื่อมโทรมของตระกูลเป็นเรื่องปกติ การมีจุดร่วมที่ทายาทยึดต่อมาแบบตระกูลขงจื้อเป็นกรณีพิเศษมาก

นอกจากนั้น ถ้ามองในระดับสังคม เรื่องความจำเป็นของการมีอำนาจหรือความเชื่อมโยงกับขุนนางและราชสำนักที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของตระกูลที่โดดเด่นไม่ให้ถูกช่วงชิงทรัพย์สมบัติ มีการกระโดดช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมไปโดยสิ้นเชิง ดูอย่างไรคฤหาสน์เก่าของตระกูลก็ไม่มีทางรอดจากผลกระทบช่วงนั้นได้ ถึงจะบอกว่าทรัพย์สมบัติส่วนมากจะอยู่ต่างประเทศ แต่ในประเทศจีน อย่างไรก็ต้องโดนยึดและเปลี่ยนวิถีชีวิต และในปัจจุบันก็ไม่ได้อธิบายเรื่องการเงินและภาษี นอกจากนี้ด้านการเมืองและการทูตที่การถือหนังสือเดินทางทูตไม่ใช่ว่าจะได้รับการคุ้มครองในทุกประเทศโดยอัตโนมัติ

ในด้านทางวิทยาศาสตร์ มีความรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย อย่างโจวเซิงเฉินที่ลืมของแล้วไปเอาเลยระเบิดหายไปครึ่งห้อง อะไรจะขนาดนั้น ในทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในเรื่องพูดถึงแบบชิลด์ๆ ไม่บ่งชี้ถึงความตระหนักด้านความปลอดภัยเอาเลย และงงเล็กน้องเรื่องนักวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุศาสตร์ที่มีการย้ายสาขาไปสถาบันดาราฟิสิกส์แห่งชาติที่โรมที่ศึกษาส่วนประกอบบนพื้นผิวดาวศุกร์เพื่อโอกาสตั้งถื่นฐาน เพราะดาวอังคารมีโอกาสกว่าเยอะนะ

ในด้านอายุตัวละครก็มีข้อสงสัย เพราะบอกว่าในยุคปัจจุบัน โจวเซินเฉินอายุราวสามสิบ แต่น้องสาวของอดีตคู่หมั้นเป็นแม่ของโจวเซิงเหรินที่อายุสิบสี่ นั่นคืออายุสิบห้าก็มีลูกแล้วหรือ อีกจุดหนึ่งที่รู้สึกแปลก คือลักษณะการแต่งตัวของโจวเซิงเฉินที่อ่านแล้วรู้สึกแหม่ง อย่างงานรับรางวัลที่เป็นทางการก็ใส่เสื้อสูทสีเทาเงินกับกางเกงสีขาว มีเสื้อเชิ้ตลายสกอตบ่อยมาก คือดูแล้วรู้สึกเชยไปหน่อย แต่อย่างว่า ถ้าบุคลิกดีก็สามารถทำให้ดูดีได้นะ

เรื่องการแปลก็ถือว่าสำนวนใช้ได้ ถึงไม่โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าคิดว่ามีเรื่องรายละเอียดทางวัฒนธรรรมเยอะมาก แต่พอตอนหลังเห็นมีข้อสงสัยในกลุ่ม facebook เรื่องการแปลประโยคสำคัญในภาคอดีต "ชาตินี้ของเฉิน ไม่ขอรับผิดชอบใต้หล้า ขอรับผิดชอบเจ้าสิบเอ็ดผู้เดียวเท่านั้น" ว่าน่าจะเป็น "ไม่ผิดต่อใต้หล้า เพียงผิดต่อสืออี" เลยต้องตั้งข้อสงสัยไว้หน่อย

สรุปความรู้สึกคือเป็นเรื่องที่อ่านได้ความละเมียดละไมทางวัฒนธรรม อารมณ์และสำนวน ไม่พยายามเขียนให้บีบคั้นด้วยความรู้สึกของตัวละคร แต่ให้รับรู้ผ่านเรื่องราวแทน ทำให้นึกถึงสำนวน "รักลึกล้ำไม่ยั่งยืน ฝืนใจเป็นต้องอัปยศ สุภาพชนสำรวมตน อุ่นละมุมประดุจหยก" (จาก 'จอมใจจอมยุทธ' ของกิมย้ง) แต่มีความแปลกประหลาดในด้านการอื่นโดยเฉพาะประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่อยู่มากจนเหมือนการมโนที่ฐานรองรับไม่หนักแน่นเพียงพอ เลยทำให้ความประทับใจหดหายไปมาก

และเนื่องจากพระเอกเป็นนักวิจัยและศึกษาเรื่องการสำรวจอวกาศด้วย ถ้าจะถามว่าเหมือน 'ดุจดวงดางเกียรติยศ' ไหม คำตอบคือไม่เหมือนเลย เรื่องนั้นจะมาแนวนิยายรักสบายๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดด้านสังคมของรัฐบาลจีน แต่เรื่องนี้ออกแนวเงียบสงบที่แฝงด้วยความพยศทางสังคมไม่น้อย ส่วนเนื้อหาเรื่องที่ศึกษา ก็ไม่ค่อยพูดถึงทั้งคู่แหละ


สุดท้ายคือมีการทำเป็นซีรีส์ 'ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม' นำแสดงโดยเหรินเจียหลุนและไป๋ลู่ และแบ่งเป็น ภาคอดีต (One and Only) มี 24 ตอน และภาคปัจจุบัน (Forever and Ever) มี 30 ตอน เริ่มฉายสิงหาคม 2564 โดยเปลี่ยนเนื้อหา และยืดเรื่อง เพราะในนิยายมีเรื่องอดีตไม่มาก และในช่วงปัจจุบันนิยายมีความแปร่งทางสังคมสูง ผลคือซีรีส์เรื่องนี้ดูแล้วทำให้เกิดอารมณ์ร่วมมากกว่าอ่านเยอะมาก เพราะว่าการบรรยายในนิยายจะออกแนวที่แสดงอารมณ์น้อย ที่ทำให้รู้สึกละเมียดละไม่มากกว่ากดดันความรู้สึกแบบในซีรีส์ค่ะ
[23/08/21, 31/08/21, 09/09/21]

ที่มา
[1] โม่เป่าเฟยเป่า (เสี่ยวหวา แปล). ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม. สำนักพิมพ์อรุณ, 466 หน้า, 2561.


รายการนิยายจีนแปลไทย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spy×Family - Endo Tatsuya

ลำนำรักเทพสวรรค์ - ถงหัว

สืบลับฉบับคาโมโนะฮาชิ รอน - Amano Akira