Back to 1960 หลบหน่อย แม่จะเดิน - Hu Tu

เรื่อง Back to 1960 หลบหน่อย แม่จะเดิน
แต่งโดย HuTu พิสูจน์อักษรโดย Red Dragon



ซูหยี CEO สาวผู้ร่ำรวยในปี 2020 ที่แสดงความสามารถยึดครองและถ่ายโอนกิจการของปู่และควบคุมพ่อและน้องชายฝาแฝดที่ไร้ฝีมืออย่างดุดัน ได้ตื่นขึ้นมาในปี 1959 ในร่างของหญิงชื่อเดียวกันที่อายุ 26 ปี ที่มีสภาพไม่ดีนัก พ่อแม่เสียชีวิตไปเร็ว ซูหยีที่เป็นลูกคนโตอายุเพิ่งสิบหก ก็เลิกเรียนมาทำงานโรงงานทอผ้าเจียงตงด้วยวุฒิมัธยมต้น ดูแลน้องสามคนอย่างประคบประหงบในขณะที่ตัวเลยลำบากสุดแสน

น้องชายรอง ซูต้าจื้อ เมื่อสองเดือนก่อนแต่งงานกับ หลิวเหมย ที่เป็นพนักงานชั่วคราวของโรงงานเหล็กกล้า โดยทั้งงานแต่งและการกินอยู่ทั้งหมดใช้เงินและแรงของซูหยี ส่วนเงินเดือนและรายได้อื่น หลิวเหมยเก็บไว้เองหมดและยังโวยวายจะแยกบ้าน คือสามีภรรยายึดบ้านไว้แล้วให้คนอื่นย้ายออกไป ต่อมาคือน้องชายสาม ซูเสี่ยวจื้อ อายุสิบหกและเรียนหนังสืออย่างไม่ตั้งใจ เน้นเล่นเป็นหลัก ส่วนน้องสาวคนเล็ก ซูหลิน อยุสิบสี่ กำลังเรียนมัธยมต้น ไม่ช่วยงานอะไรในบ้านแถมขอบใช้เงินแต่งตัวอีก นอกจากนี้ หนุ่มโรงงานเครื่องจักรกล อู๋กั๋วจื้อ ที่คบกันมาหลายปี ก็ยังมองว่าเธอเป็นตัวสำรองและให้ออกเงินเวลาไปไหนกันอีก สรุปคือชีวิตช่างบัดซบอะไรปานนั้น

ซูหยีคนใหม่จัดการปฏิวัติอำนาจในครอบครัวเบ็ดเสร็จ ครอบงำน้องทุกคนคนเชื่อฟังอย่างดี ให้ซูหยีเป็นคนรับเงินเดือนและแบ่งทรัพยากร โดยจัดการเรื่องสะใภ้รองและครอบครัวจนกลัว ให้ซูเสี่ยวจื้อลาออกมาทำงานที่โรงงาน ทั้งยังจัดการให้ได้เป็นพนักงานประจำ ส่วนซูหลินก็ตัดสินใจเรียนต่อและทำงานในบ้านเต็มที่ และจัดการอู๋กั๋วจื้อจนกระอัก ส่วนตัวซูหยีเองก็สามารถเข้าเรียน ปวช ด้านบัญชี และจากความสำเร็จต่อมาก็สามารถหาผลประโยชน์เข้าบ้านได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัว (และตัวเธอเอง) ได้อย่างก้าวกระโดด มีอาหารเพียงพอ กินเนื้อได้บ่อยๆ บ้านหลังใหญ่ มีจักรยาน เครื่องใช้ในบ้านครบครัน นาฬิกาข้อมือ ฯลฯ ทำให้เหล่าน้องๆ เชื่อมั่นในการตามพี่สาวใหญ่เต็มที่


ซูหยีย้ายจากงานโรงงานไปทำงานในสำนักงานฝ่ายสวัสดิการแรงงาน มีผลงานโดดเด่น ขึ้นเป็นเลขาของผู้จัดการฝ่ายสวัสดิการแรงงาน ทั้งการหาข้อมูลที่ทำให้ได้เสบียงที่กำลังขาดแคลน (เนื่องจาก Great Leap Forward) กิจกรรมพัฒนาต่างๆ ในโรงงาน (ตั้งแต่การทำงานยันหาคู่) ตั้งโครงการสร้างบ้านให้คนงาน (ครอบครัวซูก็ได้ด้วย) เป็นสมองและผู้แนะแนวทางให้ของเหล่าผู้จัดการทั้งหลาย ได้รับการเสนอเข้าเป็นสมาชิกพรรคขั้นต้น ฯลฯ

ในการทำงานซูหยียังได้สนิทสนมกับเหล่าเลขาของผู้ใหญ่ในมณฑล โดยเฉพาะ ซ่งตงเจิน เลขาของรองผู้ว่าการเมืองแซ่ ชิว ที่ทั้งหน้าตาดีและภูมิหลังเยี่ยม เลขาซ่งถือว่าเห็นหนุ่มอีลีท พ่อ ซ่งหยวนซัน เคยเป็นทหาร ขาพิการแต่แต่มีความดีความชอบมากจึงมีตำแหน่งในกองทัพ แม่ที่แซ่ฉินเป็นข้าราชการระดับมณฑลและทำงานในสหพันธ์เพื่อผู้หญิง ตอนแต่งงานก็ได้รัฐช่วยจัดการจับคู่ให้ ทั้งสองถึงมีลูกชายหลายคนแต่ตายหมด เหลือแต่ซ่งตงเจินที่รอดมาได้อย่างดวงแข็งสุดๆ (ขนาดตอนญี่ปุ่นทิ้งระเบิดยังรอดมาได้!) ตอนนี้ทั้งคู่เลยประคบประหงบลูกชายเป็นพิเศษ เรื่องสะใภ้ก็เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับตัวเลขาซ่งที่ถึงจะปากจัดและเล่ห์เหลี่ยมรอบตัว แต่เทียบกับซูหยีแล้วก็ไก่อ่อนธรรมดา ... หลังจากซึนมาได้พักหนึ่งก็ตกหลุมรักวิ่งมาให้นางพญาโขกสับเสียนานก่อนจะคบกัน

เมื่อซูหยีถูกย้ายมาทำงานที่ฝ่ายเลขาของที่ว่าการเมือง ก็มีผลงานโดดเด่นทั้งในสำนักงานและหลังบ้าน ได้เป็นเลขาชั่วคราวของนายกที่กำลังจะเกษียณ แน่นอนว่าซ่งตงเจินสนับสนุนเต็มกำลังและมีความสุขมากในการพูดคุยวางแผนทำดีหวังผลกับคนรักที่ฝีมือร้ายกาจและแข็งแกร่งกว่าตัวเองอีก ทั้งสองยังจัดฉากให้เป็นว่าถูกจับคู่โดยคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ทำให้ไม่ถูกครหาใดๆ แถมพ่อแม่ของซ่งตงเจินก็ถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้อย่างยิ่งยวด

หลังจากที่ซูหยีมีส่วนช่วยในการสนับสนุนรองผู้ว่าชิวให้ข้ามขั้นเป็นนายก ก็สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเจียงตงได้โดยรัฐจัดให้เข้าเรียนในคณะภาษาจีน แน่นอนว่าเธอไม่ยอมเป็นนักศึกษาธรรมดา ตั้งแต่ปีหนึ่งก็ได้เป็นประธานกองงานนักศึกษา ขยายหน่วยและขอบเขตของงานไปหลายด้าน ทั้งยังสนับสนุนคนที่ยินดีเป็นลูกน้องอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะ หลี่ผิง ลูกสาวนายพลที่เดิมติ๋มๆ กลายเป็นสาวมั่น ซูหยียังได้เป็นเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยและจบการศึกษาในสองปี

ระหว่างที่ซูหยีเรียนอยู่ รองผู้ว่าชิวก็เลื่อนเป็นนายกชิว และซ่งตงเจินออกไปเป็นปลัดที่อำเภอจินเหอ จัดการนายอำเภอราบคาบ (มีความช่วยเหลือจากซูหยีนิดหน่อย) และเลื่อนเป็นนายอำเภออย่างเร็วราวติดจรวด โดยซ่งตงเจินสามารถพัฒนาอำเภอได้โดดเด่น ขยายที่ทำกิน เปิดโรงเลี้ยงสัตว์ เมื่อซูหยีเรียนจบก็แต่งงานและเป็นเลขาให้นายกชิวที่เมื่อได้เลื่อนเป็นรองผู้ว่าการมณฑลก็พาเลขาประสิทธิผลสูงไปด้วย ส่วนซ่งตงเจินก็ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นรองผู้ว่าการเมือง กลายเป็นคู่สามีภรรยาไฮพาวเวอร์ที่น่าเกรงขามในสายตาของผู้ที่โดนเจี๋ยน

คนอื่นๆ ก็มีการเติบโตอย่างดีภายใต้การดูแลของซูหยี โดยเฉพาะซูเสี่ยวจื้อที่ไปเป็นทหาร ออกรบบาดเจ็บ และแต่งงานกับพยาบาล หลินเสี่ยวกวง ที่กลายเป็นสาวกพี่ใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่วนหลี่ผิงก็ไปช่วยสนับสนุนการรบและแต่งงานกับรุ่นน้องซ่งตงเจิน คือ เจียงหู ที่เป็นลูกบุญธรรมแม่ทัพภาค สร้างสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับกองทัพ ซูหยีเองก็ได้ลูกสาว ซ่งอี้ถง ที่เป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัว และมีแววนิสัยแม่อย่างเด่นชัด

แต่การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ยาวนานถึงสิบปีกำลังจะเริ่ม ซูหยีตั้งใจเต็มที่ที่จะปกป้องไม่ให้เมืองและมณฑลวุ่นวายมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ลงไปคุมด้านประชาสัมพันธ์ของมณฑล พยายามผ่อนหนักให้เบาลง และถ้าต้องเนรเทศคนไปใช้แรงงาน ก็หาทางให้ได้อยู่อย่างสงบสุข รอเวลาที่จะเข้าสู่ยุคเติบโต ...

สำหรับเนื้อเรื่อง ก็ถือว่ามาแปลกที่ย้อนเวลาไปนิดเดียว แต่มองในอีกแง่ คือความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงห้าสิบปีนี้ในจีนก็ถือว่าพลิกฟ้าจริงๆ จนทำให้คนสมัยปัจจุบันมีทักษะที่แปลกไปมากแทบจะเหมือนกับย้อนไปอดีตไกลๆ ได้อยู่ นางเอกมาด้วยสกิลความร้ายกาจเต็มเปี่ยม นับว่าแปลกใหม่ดีค่ะ นางเอกถือว่ามีความสามารถในการปฏิสัมพันธ์สุดยอด และที่แน่ๆ คือเรื่องเส้นสายต่างๆ นี่ก็ เอิ่ม เป็นเรื่องที่เข้าใจกัน ไม่ต้องพูดมาก ... เรื่องส่งต่อตำแหน่งงานในหน่วยงานนี่น่าสนใจมาก ทำให้นึกถึงเรื่องการส่งต่ออาชีพในครอบครัวสมัยราชวงศ์หมิงในเรื่อง 'เจ้ารัตติกาลแผ่นดินเถื่อน'

ในด้านการดำเนินเรื่อง ให้ตัวละครขับเคลื่อน ที่เป็นสไตล์โปรดของ จขบ. นิสัยและทักษะของตัวเองและรองต่างๆ ถือว่าโดดเด่นมากค่ะ ถึงจะออกแนวแสดงออกหน้าฉากอย่างไม่เคอะเขิน เล่นละครแบบคนอยู่ในเหตุการณ์ก็รู้ และส่งมุกกันต่อสนุกสนานมาก อ่านแล้วเพลินดีแบบรู้สึกเหอะๆ กับการอ้างท่านประธานาธิบดี

มีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยุคนั้นอยู่บ้างอย่างอ้อมๆ เช่น มีพูดถึงเรื่องอาหารที่เริ่มชาดแคลนจาก Great Leap Forward นิดหน่อย แต่ในเรื่องดูจะยังชิลด์อยู่มาก เรื่องการรบทางตะวันตกเฉียงใต้ในปี 1962 ที่ไม่ยักบอกให้ชัดว่ารบกับอินเดีย และมีเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างอ้อม คือพูดกันตามตรง จขบ. รู้สึกว่าการเมืองจีนในยุคนั้นช่างน่าสนใจแบบคำสาปจีน interesting times พูดได้ว่าไม่เคยคิดว่าจะโผล่มาในนิยายเพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากในจีน นิยายบางเรื่องยังมั่วข้ามไปดื้อๆ เลย ในเรื่องนี้ถึงทำให้อ่อนลงมากๆ และไม่พูดถึงตรงๆ แต่ก็ถือว่ามีชัดเจนที่เป็นจุดโดดเด่นมาก

สำหรับการแปล มีชื่อผู้แปลร่วมสองคนเป็นอักษรจีน ผู้พิสูจน์อักษรคือ Red Dragon และผู้ออกแบบรูปเล่มคือนาถยา แดงเหลือบ ผลงานก็ถือว่าพอจะสูงกว่ามาตรฐานของห้องสมุด แต่ก็ยังไม่ลื่นเท่าที่ควร เช่นการแปลตำแหน่งบางอย่างอย่างพวกถวนเว่ย ฯลฯ น่าจะมีคำที่เข้าใจได้ง่ายหน่อย

สรุปในภาพรวมคือน่าสนใจดี อึ้งไปบ้างกับความคิดและการกระทำของนางเอก แต่ก็ฮาในระดับหนึ่ง ในเนื้อเรื่องถึงข้ามๆ ปัญหาในยุคนั้นไปเยอะ และเน้นแนว feel good แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องนี้แตะยากมาก จะถูกแบนเอาง่ายๆ
[26/11/20, 10/02/21, 09/04/21]

ที่มา
[1] HuTu (ห้องสมุด แปล). Back to 1960 หลบหน่อย แม่จะเดิน. ห้องสมุดดอทคอม, 6 เล่มจบ, 363 + 357 + 378 + 376 + 389 + 390 หน้า, 2563.


รายการนิยายจีนแปลไทย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spy×Family - Endo Tatsuya

ลำนำรักเทพสวรรค์ - ถงหัว

สืบลับฉบับคาโมโนะฮาชิ รอน - Amano Akira